วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

บทความต่างประเทศฐาน ERIC

 งานครั้งที่ 5 บทความต่างประเทศฐาน ERIC

เรื่องที่ 1 EFFECTSOF SCHOOL PRINCIPALS’ LEADERSHIP STYLES ON LEADERSHIP PRACTICES

ABSTRACT

Leadership practices play a crucial role on teacher performance and hence the school effectiveness. Therefore, the principal focal point of the present research was to investigate the predictive level of the leadership styles of school principals for leadership practices according to teacher perceptions. In research, relational survey model was preferred from quantitative research models. The research population consisted of 7644 teachers and the research sample consisted of 404 teachers, all working at public schools in Istanbul. Data were collected using the “Multi-Factor Leadership Questionnaire” and “Leadership Practices Inventory.” Data were analyzed by correlation and regression analysis techniques. According to the findings, a significant correlation was found between the leadership styles and leadership practices and its sub-dimensions. As perceived by teachers, the transformational leadership style affects the leadership practices positively while the laissez-faire style affects the leadership practices negatively. Although the transactional leadership style as perceived by teachers is significantly predictive of the leadership practices, the significance level was found not to be notable.

แนวทางปฏิบัติในการเป็นผู้นำมีบทบาทสำคัญในประสิทธิภาพของครูและด้วยเหตุนี้ประสิทธิภาพของโรงเรียน ดังนั้น จุดศูนย์กลางหลักของการวิจัยครั้งนี้คือการตรวจสอบระดับการทำนายของรูปแบบความเป็นผู้นำของผู้อำนวยการโรงเรียนสำหรับแนวทางปฏิบัติในการเป็นผู้นำตามการรับรู้ของครู ในการวิจัย แบบจำลองการสำรวจเชิงสัมพันธ์เป็นที่นิยมมากกว่าแบบจำลองการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรการวิจัยประกอบด้วยครู 7644 คน และกลุ่มตัวอย่างการวิจัยประกอบด้วยครู 404 คน ทั้งหมดทำงานที่โรงเรียนของรัฐในอิสตันบูล ข้อมูลถูกเก็บรวบรวมโดยใช้ “แบบสอบถามความเป็นผู้นำแบบหลายปัจจัย” และ “สินค้าคงคลังแนวปฏิบัติความเป็นผู้นำ” วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์สหสัมพันธ์และการถดถอย จากการค้นพบนี้ พบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างรูปแบบความเป็นผู้นำกับแนวทางปฏิบัติในการเป็นผู้นำและมิติย่อย ตามที่ครูเข้าใจ รูปแบบความเป็นผู้นำที่เปลี่ยนแปลงจะส่งผลต่อแนวทางปฏิบัติในการเป็นผู้นำในเชิงบวก ในขณะที่รูปแบบที่เป็นกลางจะส่งผลต่อแนวทางปฏิบัติในการเป็นผู้นำในเชิงลบ แม้ว่ารูปแบบความเป็นผู้นำแบบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ครูรับรู้จะเป็นตัวทำนายแนวทางปฏิบัติในการเป็นผู้นำอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็พบว่าระดับนัยสำคัญไม่โดดเด่น

รายการอ้างอิง

MALAYSIAN ONLINE JOURNAL OF EDUCATIONAL SCIENCES. (n.d.). http://mojes.um.edu.my/EISSN:2289-3024


เรื่องที่ 2 Developingthe Leadership Capacity of Teachers: Theory to Practice

ABSTRACT

Today’s school leaders need to prioritize the development of leadership capacity in classroom teachers. Leadership development commonly involves either teachers expressing an interest in leadership or school leaders finding talent in those teachers whom they believe have the capacity to grow into formal leadership roles. School leaders must be able to recognize teachers who overflow with terrific ideas and leadership potential and those who are less likely to self-identify as leadership candidates. However, as a school administrator desires to cultivate leadership capacity in teachers, he or she must devise a plan. To accomplish this task effectively, best practices and theory must be utilized. Therefore, this essay addresses the use of best practices as identified in literature to promote a positive school climate, collaboration, motivation, reflective practice, and teacher leadership development.

 

ผู้นำโรงเรียนในปัจจุบันจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญในการพัฒนาความสามารถในการเป็นผู้นำในครูประจำชั้น การพัฒนาภาวะผู้นำมักเกี่ยวข้องกับครูที่แสดงความสนใจในการเป็นผู้นำหรือผู้นำโรงเรียนที่ค้นหาพรสวรรค์ในครูที่พวกเขาเชื่อว่ามีความสามารถในการเติบโตไปสู่บทบาทความเป็นผู้นำที่เป็นทางการ ผู้นำโรงเรียนต้องสามารถรับรู้ครูที่มีความคิดที่ยอดเยี่ยมและศักยภาพในการเป็นผู้นำล้นเหลือ และผู้ที่ไม่ค่อยจะระบุตัวเองว่าเป็นผู้นำ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผู้บริหารโรงเรียนต้องการปลูกฝังความสามารถในการเป็นผู้นำในครู เขาหรือเธอจึงต้องวางแผน เพื่อให้บรรลุภารกิจนี้อย่างมีประสิทธิผล ต้องใช้แนวปฏิบัติและทฤษฎีที่ดีที่สุด ดังนั้น บทความนี้จึงกล่าวถึงการใช้แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดตามที่ระบุไว้ในวรรณคดีเพื่อส่งเสริมบรรยากาศของโรงเรียนในเชิงบวก การทำงานร่วมกัน แรงจูงใจ การไตร่ตรอง และการพัฒนาความเป็นผู้นำของครู

รายการอ้างอิง

Carswell, M. A. (2021). Developing the Leadership Capacity of Teachers: Theory to Practice. Journal of School Administration Research and Development, 6(1), 5259.


เรื่องที่ 3 Teacherleadership inside the classroom: Implications for effective language teaching

Abstract

On definitional and conceptual basis, strong correspondences exist between leadership and the teaching profession yet leadership is nonetheless occasionally studied in the classroom context. This study investigated in-class teacher leadership based on the Full Range Leadership (FRL) model in tertiary-level English language teaching context in Turkey, with the aim of eventually identifying the effective/ineffective classroom leader characteristics. This paper reports the results of a study designed with a mixed methods approach, using a questionnaire survey, which included Classroom Leadership Instrument, a modified version of Multifactor Leadership Questionnaire administered to the students and face-to-face interviews with both instructors and students. One particular subject course was determined in two English languagerelated departments in a Turkish state university and the instructors teaching and the students taking this course were selected as the subject group of the study. 305 students took part in the survey while among these students, 18 were further interviewed besides the four instructors teaching the course. Quantitative data were analyzed through descriptive tests while interviews and observations were content-analyzed. Both quantitative and qualitative results, in broad terms, showed that language instructors displayed all three leadership styles of FRL, namely, transformational, transactional and laissez-faire leadership, with changing extents for each style. The results indicated that instructors with higher tendencies for transformational and active components of transactional styles were rather more organized, enthusiastic and committed and they were attributed with more positive and effective characteristics by their students while those with higher passive transactional and laissez-faire leadership scores were accordingly less effective in both teaching activities and their relationships with the students. Lastly, it is concluded that transformational and active transactional leadership characteristics contribute to effective leadership inside the classroom and an integration of these characteristics into teaching practices and teacher-student interaction promises potential positive outcomes.

 

บนพื้นฐานคำจำกัดความและแนวความคิด มีความสอดคล้องกันอย่างมากระหว่างผู้นำและวิชาชีพครู แต่ถึงกระนั้นภาวะผู้นำก็ยังได้รับการศึกษาเป็นครั้งคราวในบริบทของห้องเรียน การศึกษานี้ตรวจสอบภาวะผู้นำของครูในชั้นเรียนโดยใช้แบบจำลองความเป็นผู้นำแบบเต็มช่วง (FRL) ในบริบทการสอนภาษาอังกฤษระดับอุดมศึกษาในตุรกี โดยมีเป้าหมายเพื่อระบุลักษณะผู้นำในห้องเรียนที่มีประสิทธิผล/ไม่มีประสิทธิผลในที่สุด บทความนี้รายงานผลการศึกษาที่ออกแบบโดยใช้วิธีการแบบผสมผสาน โดยใช้แบบสำรวจแบบสอบถาม ซึ่งรวมถึง Classroom Leadership Instrument ซึ่งเป็นแบบสอบถามความเป็นผู้นำแบบหลายปัจจัยที่แก้ไขแล้วซึ่งจัดการให้กับนักเรียนและการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวกับทั้งอาจารย์ผู้สอนและนักเรียน หลักสูตรหนึ่งวิชาเฉพาะถูกกำหนดในสองแผนกที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยของรัฐในตุรกี และผู้สอนที่สอนและนักเรียนที่เรียนหลักสูตรนี้ได้รับเลือกเป็นกลุ่มวิชาของการศึกษา มีนักเรียนเข้าร่วมการสำรวจ 305 คน ในขณะที่นักเรียนเหล่านี้ 18 คนถูกสัมภาษณ์เพิ่มเติมนอกเหนือจากผู้สอนสี่คนที่สอนหลักสูตร ข้อมูลเชิงปริมาณถูกวิเคราะห์โดยการทดสอบเชิงพรรณนาในขณะที่การสัมภาษณ์และการสังเกตถูกวิเคราะห์เนื้อหา ผลลัพธ์ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในแง่กว้าง ๆ แสดงให้เห็นว่าผู้สอนภาษาแสดงรูปแบบความเป็นผู้นำทั้งสามแบบของ FRL ได้แก่ ภาวะผู้นำแบบเปลี่ยนรูปแบบ เชิงธุรกรรม และแบบเสรี โดยมีขอบเขตที่เปลี่ยนแปลงไปสำหรับแต่ละรูปแบบ ผลการวิจัยพบว่าผู้สอนที่มีแนวโน้มสูงขึ้นสำหรับองค์ประกอบการเปลี่ยนแปลงและเชิงรุกของรูปแบบการทำธุรกรรมค่อนข้างมีระเบียบ กระตือรือร้น และมุ่งมั่นมากกว่า และถูกมองว่ามีลักษณะเชิงบวกและมีประสิทธิภาพมากกว่าจากนักเรียน ในขณะที่ผู้ที่มีคะแนนความเป็นผู้นำแบบแลกเปลี่ยนและแบบเป็นกลางสูงกว่าคือ จึงมีประสิทธิภาพน้อยทั้งในกิจกรรมการสอนและความสัมพันธ์กับนักเรียน สุดท้ายนี้ สรุปได้ว่าลักษณะความเป็นผู้นำแบบแลกเปลี่ยนเชิงโต้ตอบที่เปลี่ยนแปลงและเชิงรุกมีส่วนช่วยในการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิผลภายในห้องเรียน และการรวมคุณลักษณะเหล่านี้เข้ากับแนวทางปฏิบัติในการสอนและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนจะทำให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกที่อาจเกิดขึ้น

รายการอ้างอิง

Erdel, D., & Takkaç, M. (2016). Available online at ijci.wcci-international.org International Journal of Curriculum and Instruction 12(Special Issue) (2020) 467-500 Teacher leadership inside the classroom: Implications for effective language teaching *. In International Journal of Curriculum and Instruction.


วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

The impact of digital leadership on teachers’ technology integration during the COVID-19 pandemic in Kuwait.

 

The impact of digital leadership on teachers’ technology integration during the COVID-19 pandemic in Kuwait.

 

Abstract

When the education system was overwhelmed by the COVID-19 pandemic, school principals had to take on the mantle of digital literacy by ensuring that teachers and learners attained and utilized digital tools and platforms. This study aims to explore the impact of digital leadership among school principals on teachers’ technology integration during the COVID-19 pandemic in Kuwait. This quantitative study used two surveys, the Principal Technology Leadership Assessment, and the Teacher Technology Integration Survey. The sample consisted of 113 school principals and 404 teachers from public elementary schools in Kuwait. The study revealed that digital leadership among school principals had a positive impact on teachers’ technology integration during the COVID-19 pandemic. Discussion and implications for policymakers, school principals, and future research are introduced. Keywords: digital leadership, technology integration, school principals, Kuwait, COVID-19

 The impact of digital leadership on teachers’ technology integration during the COVID-19 pandemic in Kuwait. 

เมื่อระบบการศึกษาถูกครอบงำโดยการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องรับหน้าที่ของการรู้หนังสือดิจิทัลโดยทำให้แน่ใจว่าครูและผู้เรียนบรรลุและใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มดิจิทัล การศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสำรวจผลกระทบของภาวะผู้นำทางดิจิทัลในหมู่ผู้บริหารโรงเรียนต่อการบูรณาการเทคโนโลยีของครูในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในคูเวต การศึกษาเชิงปริมาณนี้ใช้แบบสำรวจ 2 แบบ ได้แก่ การประเมินความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีหลัก และแบบสำรวจการรวมเทคโนโลยีของครู กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียน 113 คน และครู 404 คน จากโรงเรียนประถมศึกษาของรัฐในคูเวต ผลการศึกษาพบว่าภาวะผู้นำทางดิจิทัลในหมู่ผู้บริหารโรงเรียนส่งผลดีต่อการบูรณาการเทคโนโลยีของครูในช่วงการระบาดของโควิด-19 มีการแนะนำการอภิปรายและความหมายสำหรับผู้กำหนดนโยบาย ผู้อำนวยการโรงเรียน และการวิจัยในอนาคต คำสำคัญ: ภาวะผู้นำทางดิจิทัล การบูรณาการเทคโนโลยี ผู้อำนวยการโรงเรียน คูเวต COVID-19

Munirah Khalid AlAjmi. The impact of digital leadership on teachers’ technology integration during the COVID-19 pandemic in Kuwait, International Journal of Educational Research (2022), https://doi.org/10.1016/j.ijer.2022.101928

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

workshop 4

         เรื่องที่ 1

 สุดาลักษณ์ บุปผาดา และคณะ (2558). ยุทธศาสตร์การบริหารโรงเรียนเป็นฐานในโรงเรียนมัธยมศึกษา ขนาดเล็กสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. วารสารรบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. ปีที่ 12 ฉบับที่ 57 เมษายน – มิถุนายน 2558, หน้า 111-122.

 บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษายุทธศาสตร์การบริหารโรงเรียนเป็นฐานในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีการดำเนินการวิจัยเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาสภาพ ปัญหาและแนวทางการพัฒนาการบริหารโรงเรียนเป็นฐานในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 27 โรงเรียน โดยมีผู้บริหารเป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญรวม 27 คน 2) สร้างยุทธศาสตร์การบริหารโรงเรียนเป็นฐาน ในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยร่างยุทธศาสตร์ตามข้อมูลที่ได้ใน ขั้นตอนที่ 1 และดำเนินการปรับปรุงร่างยุทธศาสตร์ โดยการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาประชุมสัมมนา จำนวน 21 คน เพื่อวิพากย์และให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงร่างยุทธศาสตร์ 3) ประเมินยุทธศาสตร์การบริหารโรงเรียนเป็นฐานในโรงเรียนมัธยมศึกษา ขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยนำเสนอยุทธศาสตร์ฉบับปรับปรุงต่อผู้ทรงคุณวุฒิ โดยการจัดประชุมสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 30 คน เพื่อประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ ของยุทธศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามเพื่อการวิจัย แบบประเมินความสอดคล้องเชิงเนื้อหา ของแบบสอบถามเพื่อการวิจัยและแบบประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ วิเคราะห์ข้อมูล โดย ใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา

ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการบริหารโรงเรียนเป็นฐานในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ด้านการกระจายอำนาจ ด้านการบริหารจัดการตนเองด้านการสร้างเครือข่าย และด้านความรับผิดชอบ โดยภาพรวมมีระดับการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก โดยรวมเน้นการมีอำนาจตัดสินใจในการนำหลักสูตรไปใช้อย่างมีแบบแผน มีขั้นตอนในการดำเนินงานชัดเจน มีอิสระในการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนของตนเองเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา สามารถบริหารจัดการโรงเรียนโดยมุ่งเน้นประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสำคัญ มีการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง จัดให้บุคลากรทุกฝ่ายร่วมกันรับผิดชอบการดำเนินงานของโรงเรียน มีระบบประกันคุณภาพภายในที่พร้อมรับการประเมินภายนอก ปัญหาส่วนใหญ่ พบว่า ผู้บริหารยังไม่กระจายอำนาจการตัดสินใจไปยังครูทุกระดับในโรงเรียน การขาดแคลนงบประมาณ ครูและบุคลากรมีจำนวนน้อยและมีภาระงานมาก ครูย้ายบ่อยทำให้งานที่มอบหมายและรับผิดชอบไม่ต่อเนื่อง และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานร่วมรับผิดชอบต่อการจัดการศึกษาน้อย โดยมีแนวทางพัฒนาดังนี้ สร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและมอบอำนาจการตัดสินใจให้กับครูทุกระดับในโรงเรียน การระดมทรัพยากร การสร้างความตระหนักด้านความรับผิดชอบ ให้กับครูและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน รวมทั้งการสร้างเครือข่ายการศึกษา เช่น โรงเรียนคู่พัฒนาและปราชญ์ชาวบ้าน 2. ผลการสร้างยุทธศาสตร์การบริหารโรงเรียนเป็นฐานในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก มี 4 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ด้านการกระจายอำนาจ ยุทธศาสตร์ด้านการบริหารจัดการตนเอง ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างเครือข่าย และ ยุทธศาสตร์ด้านความรับผิดชอบ ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้ ยุทธศาสตร์ด้านการกระจายอำนาจ มี 10 มาตรการ โดยเน้นมาตรการออกแบบโครงสร้างการบริหารงานที่มีความคล่องตัว ไม่ซับซ้อน ผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำและเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง และการมอบอำนาจการตัดสินใจเป็นลำดับชั้น ยุทธศาสตร์ด้านการบริหารจัดการตนเอง มี 10 มาตรการ โดยเน้นมาตรการ พัฒนาบุคลากรให้มีความเป็นมืออาชีพ มีระบบสารสนเทศชัดเจนเป็นปัจจุบัน และมีหลักสูตรที่หลากหลายตามความต้องการของผู้เรียน ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างเครือข่าย มี 13 มาตรการ โดยเน้นมาตรการ การสำรวจ สภาพความต้องการในการจัดการศึกษา สร้างความตระหนักด้านการศึกษาให้กับผู้ปกครอง และประสานความร่วมมือกับ องค์กรทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ เพื่อจัดการศึกษาที่ทันสมัย และยุทธศาสตร์ด้านความรับผิดชอบ มี 10 มาตรการ โดยเน้นมาตรการ การพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน การ จัดระบบการทำงานที่ชัดเจนสามารถตรวจสอบได้เพื่อสร้างความศรัทธาให้กับชุมชน และการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม ในสถานศึกษา โดยจัดกิจกรรมให้ครูและบุคลากรได้ปฏิบัติร่วมกัน และคู่มือการใช้ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย บทนำ องค์ประกอบของยุทธศาสตร์ แนวทางการนำยุทธศาสตร์ไปใช้ และบทสรุป 3. ผลการประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของยุทธศาสตร์การบริหารโรงเรียน เป็นฐานในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า ยุทธศาสตร์ทั้ง 4 ด้าน มี ความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนด้านความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมาก

เรื่องที่ 2

รับขวัญ ภูษาแก้วและคณะ (2559). กลยุทธ์การบริหารคนเก่งและองค์การสมรรถนะสูงสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา. วารสารครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ปีที่ 44 ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม 2559, หน้า 115-130

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารคนเก่งและองค์การสมรรถนะสูงของโรงเรียนมัธยมศึกษา 2) วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและภาวะคุกคามของการบริหารคนเก่งและองค์การสมรรถนะสูงของโรงเรียนมัธยมศึกษา 3) พัฒนากลยุทธ์การบริหารคนเก่งและองค์การสมรรถนะสูงสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษาโดยใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 350 โรงเรียน เครื่องมือ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบรรยายและเทคนิค PNImodified

ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารคนเก่งโรงเรียนมัธยมศึกษามีค่าเฉลี่ยในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และสภาพปัจจุบันของการบริหารองค์การสมรรถนะสูงของโรงเรียนมัธยมศึกษามีค่าเฉลี่ยในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด 2) จุดแข็งของการบริหารคนเก่ง ได้แก่ การกำหนดค่านิยมและกลยุทธ์องค์การ จุดอ่อน ได้แก่ การค้นหาคนเก่ง การพัฒนาคนเก่ง การสร้างวัฒนธรรมส่งเสริมคนเก่ง และการบริหารคนเก่งเชิงบูรณาการทั่วทั้งองค์การ ส่วนสภาพแวดล้อมภายนอก นโยบายของรัฐ สภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคมและความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีของประเทศเป็นภาวะคุกคาม จุดแข็งของการบริหารองค์การสมรรถนะสูง ได้แก่คุณภาพการบริหาร ความเปิดเผยและมุ่งเน้นการปฏิบัติ และทิศทางระยะยาว จุดอ่อนได้แก่ การปรับปรุงและการทำใหม่อยู่ตลอด และคุณภาพบุคลากร ส่วนสภาพแวดล้อมภายนอก นโยบายของรัฐและความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีของประเทศเป็นโอกาส สภาพเศรษฐกิจและสภาพสังคมของประเทศเป็นภาวะคุกคาม 3) กลยุทธ์การบริหารคนเก่งสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา ประกอบด้วย (1) ยึดมั่นในค่านิยมและกลยุทธ์ของการบริหารคนเก่ง (2) แสวงหาวิธีการเชิงรุกในการค้นหาคนเก่ง (3) ยกระดับขีดความสามารถของคนเก่ง (4) สร้างความเข้มแข็งของวัฒนธรรมส่งเสริมคนเก่ง และ (5) บริหารคนเก่งเชิงบูรณาการ กลยุทธ์การบริหารองค์การสมรรถนะสูงของโรงเรียนมัธยมศึกษา ประกอบด้วย (1) ยกระดับคุณภาพการบริหาร (2) มุ่งพัฒนาการปฏิบัติงาน (3) มุ่งผลงานระยะยาว (4) พัฒนางานอย่างต่อเนื่อง และ (5) ยกระดับคุณภาพครูและบุคลากร


เรื่องที่ 3 

ประภาภัทร์ แสงทอง และเอกชัย กี่สุขพันธ์ (2558). การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 5 . วารสารอิเล็กทรอนิกส์ทางการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2557, หน้า 679-692.

 บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต  จำนวน 5 โรงเรียนกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารจำนวน 55 คน ครูผู้ปฏิบัติการสอนจำนวน 229 คน รวมทั้งสิ้น 284 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม  จำนวน 284 ฉบับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่และหาค่าร้อยละ               

ผลการวิจัยพบว่า 1) การวางแผนงานด้านวิชาการ คณะกรรมการประกอบด้วยหัวหน้ากลุ่มสาระมากที่สุด  ผู้อนุมัติ คือ ผู้อำนวยการ มีการวางแผนงานโดยกำหนดวิสัยทัศน์ นโยบาย เป้าหมาย มีการเผยแพร่ในที่ประชุมครู มีวิธีการตรวจสอบและประเมินผลโดยรายงานตามสายการบังคับบัญชามากที่สุด 2) การบริหารและพัฒนาหลักสูตร กรรมการคือรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการมากที่สุด ดำเนินการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรเพื่อวางแผนจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ ประเมินผลจากผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ปรับปรุงพัฒนาด้วยการนำผล O-NET มาเป็นแนวทางมากที่สุด 3) การจัดการเรียนการสอน จัดครูรับผิดชอบงานสอนตามวุฒิการศึกษา กำหนดการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ จัดวิชาเปิดสอนตามโครงสร้างหลักสูตร  จัดทำแผนการสอนโดยผู้ปฏิบัติการสอนในระดับชั้นและกลุ่มสาระเดียวกัน ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติโดยการนิเทศการสอน สอนซ่อมเสริมโดยประเมินผลสัมฤทธิ์ของการสอบกลางเทอมมากที่สุด 4) การนิเทศการศึกษาเพื่อพัฒนาครู ครูเป็นผู้รับการนิเทศ โดยโรงเรียนจัดให้มีการประชุม อบรม สัมมนาก่อนเปิดภาคเรียน ผู้นิเทศครู คือหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้มากที่สุด 5) การใช้สื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พัฒนาให้มีความหลากหลายโดยครู ใช้วิธีการประเมินผลจากความเข้าใจในเนื้อหาของผู้เรียน มากที่สุด 6) การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร จัดตามนโยบายของโรงเรียน และมีการประเมินผลหลังทำกิจกรรมมากที่สุด 7) การแนะแนว มีห้องแนะแนว และติดตามประเมินผลการแนะแนวด้วยแบบสอบถามมากที่สุด 8) การร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาและองค์กรอื่น มีการประสานงานกับบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความรู้แก่ชุมชนและร่วมมือกับกลุ่มโรงเรียนที่สังกัดอยู่มากที่สุด 9) การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพงานวิชาการ ส่งเสริมการทำวิจัย ให้การวิจัยในชั้นเรียนเป็นนโยบายที่สำคัญ และนำไปใช้ในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้มากที่สุด 10) การวัดและประเมินผลงานวิชาการ วัดผลประเมินผลจากสภาพจริง และนำผลที่ได้ไปใช้เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนของครูมากที่สุด


ภาวะผู้นำด้านการสอนของผู้บริหารโรงเรียนพฤติกรรมการบริหารทักษะด้านวิชาการของครูและสภาพแวดล้อมในโรงเรียนที่มีผลต่อคุณภาพของโรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาเพชรบุรีเขต2

 นิกูล ประทีปพิชัย และศันสนีย์ จะสุวรรณ์ (2556). ภาวะผู้นำด้านการสอนของผู้บริหารโรงเรียนพฤติกรรมการบริหารทักษะด้านวิชาการของครูและสภาพแวดล้อมในโรงเรียนที่มีผลต่อคุณภาพของโรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาเพชรบุรีเขต2. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. ปีที่ 10 ฉบับที่ 2 พฤศจิกายน 2555 – มีนาคม 2556, หน้า 216-228.


บทคัดยอ

เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำและอิทธิพลของภาวะผู้นำด้านการสอนของผู้บริหารโรงเรียน พฤติกรรมการบริหาร ทักษะด้านวิชาการของครู และสภาพแวดล้อมในโรงเรียนที่มีผลต่อคุณภาพของโรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาเพชรบุรี เขต 2 ผู้วิจัยใช้การวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามครูชั้นประถมศึกษาปีที่1 - 6 จำนวน 598 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม สำเร็จรูปในการหาค่าสถิติพื้นฐาน และโปรแกรม LISREL ในการสร้างและตรวจสอบแบบจำลองสมการโครงสร้าง การวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เจาะลึกผู้บริหารโรงเรียนดีเด่น และครูวิชาการโรงเรียนซึ่งเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถด้านการจัดการเรียนการสอน ในโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ โรงเรียนละ 3 คน รวมขนาดโรงเรียนละ 6 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 18 คนวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา

ผลการวิจัย พบว่า ภาวะผู้นำด้านการสอนของผู้บริหารโรงเรียน ที่ประกอบด้วย การพัฒนาหลักสูตรการนิเทศภายในโรงเรียน การส่งเสริมพัฒนาการสอนของครู อยู่ในระดับปานกลาง และสมรรถนะในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน อยู่ในระดับมาก พฤติกรรมการบริหารของผู้บริหาร ที่ประกอบด้วย ด้านการติดต่อสื่อสาร แรงจูงใจผู้อื่น และวิสัยทัศน์ พบว่า อยู่ในระดับมาก ทักษะด้านวิชาการของครู ที่ประกอบด้วย การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การวัดและประเมินผลและพฤติกรรมการสอน พบว่า การวัดและประเมินผลและพฤติกรรมการสอน อยู่ในระดับมาก ส่วนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของครู อยู่ในระดับปานกลาง สภาพแวดล้อมในโรงเรียนที่ประกอบด้วย การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของครู บรรยากาศโรงเรียน และบรรยากาศในชั้นเรียน พบว่า อยู่ในระดับมาก คุณภาพของโรงเรียนที่ประกอบด้วย ประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน พบว่า ประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน และความพึงพอใจในการปฏิบัติของครู อยู่ในระดับมาก ส่วนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน พบว่า ส่วนใหญ่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับชาติเกือบทุกกลุ่มสาระวิชา แบบจำลองสมการโครงสร้าง มีค่าดัชนีความกลมกลืนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ดีและสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยพิจารณาจาก ค่า Chi- Square = 136.08, df = 82, GFI = 0.95 , AGFI = 0.92, RMR = 0.016, RMSEA =0.046 และ CFI = 0.99 นอกจากนี้ ยังพบว่า พฤติกรรมการบริหาร ส่งผลทางตรงต่อคุณภาพของโรงเรียนมากที่สุด รองลงมาคือสภาพแวดล้อมในโรงเรียน และภาวะผู้นำด้านการสอนของผู้บริหารโรงเรียน ส่วนภาวะผู้นำด้านการสอนของผู้บริหารโรงเรียน มีความสัมพันธ์ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับทักษะด้านวิชาการของครู แต่ส่งผลในเชิงบวกต่อคุณภาพของโรงเรียนและสภาพแวดล้อมในโรงเรียน



กระบวนการตัดสินใจ ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้บริหาร และครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 5

กระบวนการตัดสินใจ ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้บริหาร และครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 5

การศึกษาพฤติกรรมผู้บริหารกับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู-อาจารย์และข้าราชการ ในสถาบันการศึกษาหลักของกองทัพอากาศ : ศึกษาเฉพาะกรณี โรงเรียนจ่าอากาศ

 

ชื่อวิทยานิพนธ์การศึกษาพฤติกรรมผู้บริหารกับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู-อาจารย์และข้าราชการ ในสถาบันการศึกษาหลักของกองทัพอากาศ : ศึกษาเฉพาะกรณี โรงเรียนจ่าอากาศ
A Study of leader Behavior and Job Satisfaction of teachers and officers at The Airforces Main Educational Institute: Case Study Of Air Technical Training School
ชื่อนิสิตวศิน พลนาวี
Wasin Polnawee
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษารศ อัปษรศรี ปลอดเปลี่ยว รศ พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์ รศ ดร บุญมี พันธุ์ไทย
Asso Prof Absornsri Ploadpliew Asso Prof Pimpun Tepsumethanon Asso Prof Dr Boonmee Punthai
ชื่อสถาบันมหาวิทยาลัยรามคำแหง. บัณฑิตวิทยาลัย
Ramkhamhaeng University. Bangkok (Thailand). Graduate School.
ระดับปริญญาและรายละเอียดสาขาวิชาวิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต. ศึกษาศาสตร์ (การบริหารการศึกษา)
Master. Educational (Educational Administration)
ปีที่จบการศึกษา2540
บทคัดย่อ(ไทย)การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา 1. พฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารโรงเรียนจ่าอากาศ 2. ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู-อาจารย์และข้าราชการในโรงเรียนจ่าอากาศ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นครู-อาจารย์และข้าราชการในโรงเรียนจ่าอากาศ กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ จำนวน 226 คน เครื่องมือที่ใช้ในเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถามวัดพฤติกรรมผู้นำ LBDQ (Leader Behavior Discription Questionnaire) ซึ่งแยกพฤติกรรมผู้นำเป็นสองด้านคือด้านมุ่งสัมพันธ์กับด้านมุ่งงานและแบบสอบถามวัดความ พึงพอใจในการปฏิบัติงาน ผลการศึกษาพบว่า 1. ผู้บริหารโรงเรียนจ่าอากาศมีพฤติกรรมการบริหารด้านมุ่งสัมพันธ์และด้านมุ่งงาน อยู่ในระดับปานกลางทั้งสองด้าน 2. ครู-อาจารย์และข้าราชการในโรงเรียนจ่าอากาศมีความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน อยู่ในระดับปานกลาง 3. พฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารมีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับความพึงพอใจ ในการปฏิบัติงานของครู-อาจารย์และข้าราชการในโรงเรียนจ่าอากาศ
บทคัดย่อ(English)The purposes of this research were to study the administrative behaviours of the Air Technical Training School administrators, and job satisfaction of the teachers and officials in the Air Technical Training School. The sample comprised 225 teachers and officials of the Air Technical Training School, Directorate of Education and Training, RTAF, The research instruments for data collection were a Leader Behavior Description Questionnaire which consisted of leader behaviors in relationship concentration and job concentration, and a job satisfaction assessment questionnaire. The results revealed that: 1. the administrators administrative behaviours in relationship concentration and job concentration were in a moderate level, 2. the teachers and officials job satisfaction was in a moderate level 3. the administrators administrative behaviours and the teachers and officials job satisfaction were positively interrelated.
ภาษาที่ใช้เขียนวิทยานิพนธ์
จำนวนหน้าของวิทยานิพนธ์
ISBN
สถานที่จัดเก็บวิทยานิพนธ์
คำสำคัญ
วิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง

การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียนตามการรับรู้ของครูกับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 และ เขต 2

 Title

การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียนตามการรับรู้ของครูกับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 และ เขต 2

Address: ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต.การบริหารการศึกษา
Organization : มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียนตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 และเขต 2 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยาเขต 1 และเขต 2 และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียนตามการรับรู้ของครู กับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 และเขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 และเขต 2 จำนวน 359 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1. คุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียนตามการรับรู้ของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 และเขต 2 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านมนุษยสัมพันธ์และความร่วมมือกับชุมชน ด้านความเป็นประชาธิปไตย ด้านการอุทิศตนและเป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงาน ด้านความเป็นผู้นำทางวิชาการด้านวิสัยทัศน์และความคิดสร้างสรรค์ และด้านความรู้ความสามารถทางการบริหาร 2. ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 และเขต 2 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ ด้านนโยบายและการบริหาร ด้านความสำเร็จของงาน ด้านการปกครองบังคับบัญชา ด้านความสัมพันธ์กับบุคลากรในโรงเรียน ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่ง ด้านลักษณะงานที่ปฏิบัติ ด้านสภาพการทำงาน ด้านความรับผิดชอบ ด้านการได้รับการยอมรับนับถือ ด้านการเป็นอยู่ส่วนตัว ด้านความมั่นคงปลอดภัยในการทำงาน และด้านเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียนตามการรับรู้ของครูกับ ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 และเขต 2 มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 โดยความสัมพันธ์อยู่ในระดับค่อนข้างสูง
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
Address: สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
Role: อาจารย์ที่ปรึกษา
Created: 2553
Modified: 2554-06-30
Issued: 2554-06-30
วิทยานิพนธ์/Thesis
application/pdf
CallNumber: ว 371.201 บ471ก 2553
tha
©copyrights มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา

การบริหารโดยยึดโรงเรียนเป็นฐานตามความคิดเห็นของข้าราชการครู โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดยโสธร

 Title

การบริหารโดยยึดโรงเรียนเป็นฐานตามความคิดเห็นของข้าราชการครู โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดยโสธร

Classification :.DDC: 373.1 น118ก
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการครูต่อการบริหารโดยยึดโรงเรียนเป็นฐานในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดยโสธร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ข้าราชการครู จำนวน 287 คน แยกเป็น ผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 50 คน ครูสายปฏิบัติการสอน จำนวน 237 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t และการวิเคราะห์ความแปรปรวน ผลการวิจัย พบว่า 1. ข้าราชการครูมีความคิดเห็นต่อการบริหารโดยยึดโรงเรียนเป็นฐาน โรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดยโสธร โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า มีการดำเนินการด้านวิชาการ ด้านการบริหารงานทั่วไปอยู่ในระดับมาก ด้านการบริหารงบประมาณ และด้านการบริหารบุคคลอยู่ในระดับปานกลาง 2. ข้าราชการครูที่มีตำแหน่งต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษา โดยยึดโรงเรียนเป็นฐานด้านวิชาการ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารงานทั่วไป แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. ข้าราชการครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นเห็นต่อการบริหารการศึกษา โดยยึดโรงเรียนเป็นฐานด้านวิชาการ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วน ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานทั่วไป แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านการบริหารงานบุคคลไม่แตกต่างกัน 4. ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์ต่างกัน มีความคิดเห็นเห็นต่อการบริหารการศึกษา โดยยึดโรงเรียนเป็นฐาน ด้านการบริหารงานบุคคล แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานทั่วไป แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนด้านวิชาการไม่แตกต่างกัน 5. ข้าราชการครูที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนที่มีขนาดต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารโดยยึดโรงเรียนเป็นฐาน โดยภาพรวมและรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน The purposes of this research were to investigate and compare the opinions of teachers and administrators at schools under the jurisdiction of the Department of General Education, Yasothon Province, regarding the school-based management as they were classified by positions, educational level, working experience, and school sizes. The sample group consisted of 50 school administrators and 237 instructors selected by means of the simple random sampling. The research instrument employed in the data collecting was a five-level Likert Scale questionnaire, which was proved to have the reliability value for the whole questionnaire at .98. The statistic procedures used to analyzed the data included percentage, arithmetic mean, standard deviation, t-test, and analysis of variance. The research findings were as follows: 1. The teachers favored the overall school-based management into consideration, they found that the school-base management in the academic aspect and the general administration was at a high level, but in the budget management and the personal aspects it was found to be at a moderate level. 2. The teachers who had different positions had significantly different opinions at the level of .01, regarding the overall school-based management and the individual aspects of academic work, budget management, personal, and general administration. 3. The teachers who had different educational levels had significantly different opinion about the overall school-based management and the aspect of academic work at the level of .01 and the aspects of budget management and general administration at the level of .05, while there was no significant difference in their opinion in the aspect of personal. 4. The teachers who had different working experiences had significantly different opinion about the overall school-based management and the aspect of personal at the level of .05, and the aspects of budget management and general administration at the level of .01, while no significant difference in their opinion was found in the aspect of academic work. 5. There was no significant difference in the opinion of teachers who were at schools of different size regarding the overall school-based management.
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี.สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
Address: อุบลราชธานี
Email: info.lib@ubru.ac.th
Created: 2547
Issued: 2548-09-23
วิทยานิพนธ์/Thesis
application/pdf
ISBN: 974965708X
tha
Spatial: ไทย
©copyrights มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

MS Team